รัฐศาสตร์ในโลกตะวันออก "บูรพาทิศ" ได้รับอิทธิพลจากคำสอนทาง ศาสนา และ วรรณคดีต่างๆ โดยเฉพาะจาก " อินเดีย " เช่น รามเกียรติ์ มหาภารตะ ภควัตคีตา เป็นต้น และ " จีน " เช่น ขงจื๊อ เหลาจื๊อ เป็นต้น
อินเดีย
เรื่องราวการปกครองทางการเมืองของอินเดียโบราณ มักได้มาจากคำสอนจากคัมภีร์ทางศาสนา ทั้งใน ศาสนาพุธ พราหมณ์ ฮินดู และ อิสลาม
คำสอนของศาสนา พราหมณ์ และ ฮินดู มีปรากฏอยู่ในคัมภีร์ต่างๆ เช่น ภควัตคีตา และ วรรณคดีมหากาพย์ 2 เรื่อง คือ มหาภารตะ และ รามเกียรติ์ หรือ รามายณะ
รามเกียรติ์ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ พระราม พระลักษมฌ์ ทศกัณฐ์ นางสีดา หนุมาน และ อื่นๆ อันเป็นการละเล่นนันทนาการที่เรียกว่า โขน มีความเกี่ยวพันทางความเชื่อที่เรียกว่า เทวสิทธิ์ โดยมีพระรามเป็นองค์อวตาร
มหากาพย์ทั้ง 2 เรื่องนั้น แสดงให้เห็นถึงการที่พวก อารยัน ได้เข้าไปขยายตัว ทางตะวันออก เข้าสู่ราบลุ่ม แม่น้ำคงคา ทำให้เกิดอาณาจักรเล็กๆ ขึ้นหลายแห่ง และเกิดการผสมกลมกลืนกันระหว่าง อารยัน กับ ดราวิเดียน
คำสอนหรือเรื่องราวที่เกี่ยวกับ รัฐศาสตร์ ปรากฏอยู่ใน คัมภีร์ พระธรรม และ มนูธรรมศาสตร์ หรือ มานวธรรมศาสตร์ (มานว เป็นคำเกี่ยวกับ มนุ หรือ มนู ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นผู้ปกครองมวลมนุษย์เป็นคนแรก) ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพิธีราชาภิเษก โดยกล่าวถึงบุคคลสำคัญ รองจาก ราชา คือ ปุโรหิต หรือ หัวหน้าพราหมณ์
ในยุค พระเจ้าอโศกมหาราช กษัตริย์แห่งราชโมริยะ ซึ่งครองราชสมบัติ ณ นครปาฏลีบุตร ได้ทรงยึดหลักการปกครองตามแนว ทศพิธราชธรรม (ราชธรรม 10) ซึ่งเป็นหลักคำสอนทางพุทธศาสนา ที่พระเจ้าแผ่นดินควรปฏิบัติเป็นหลักธรรมประจำพระองค์ 10 ประการ
การตื่นตัวของไทยเกี่ยวกับหลักวิชาการแนวพุทธ ได้มีการตื่นตัวตั้งแต่ สมัยใกล้สมโภชน์ กรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี ( พ.ศ.2525) จนมีหนังสือพุทธศาสตร์หลายเล่ม
จีน
รัฐศาสตร์มีผสมผสานอยู่ในคำสอนทาง ศาสนา และ จริยธรรม ของนักปราชญ์ 4 ท่านคือ
1. เหลาจื๊อ หรือ เล่าจื๊อ แปลว่า นักปราชญ์ หรือ ปราชญ์ผู้ชรา มีอายุมากกว่า ขงจื๊อ ประมาณ 50 ปี มีชีวิตในร่วมสมัยกับพระพุทธเจ้า ( อ่อนกว่า20ปี) มีคำสอนอยู่ในคัมภีร์ เต๋า เต็กเก็ง อันเป็นต้นตำหรับของ ลัทธิเต๋า
คำสอนของ เหลาจื๊อ
- ให้ดำรงชีวิตและบริหารราชการไปตาม สัจธรรม หรือ มรรคา(เต๋า) ของสรรพสิ่งต่างๆ
**เต๋า หมายถึง ทาง , มรรคา หรือ ความเป็นไปตามธรรมชาติของสรรพสิ่ง
- ให้อยู่ในสันติ ไม่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น
- ให้มีความเป็นอยู่อย่างง่ายๆ ตามแนวทางฟ้าดิน (เทียนตี่)
ดังนั้น ปรัชญาจีนของ เหลาจื๊อ คือ ผู้ปกครองและผู้ถูกปกครองพึ่งปฏิบัติตามมรรคา ของสรรพสิ่งให้อยู่ในสันติและมีชีวิตอย่างเรียบง่าย
2. ขงจื๊อ เป็นนักปราชญ์คนสำคัญ ซึ่งชาวจีนปัจจุบันยกย่องวันเกิดของท่าน 28 กันยายน เป็นวันครู โดยมีคำสอนที่เน้นการรู้จัก กตัญญูกตเวทีของบุตรที่มีต่อบิดามารดา สอนให้มีมนุษยธรรม สอนให้ปฏิบัติตามฐานะทางสังคม และเน้นการศึกษา
มีผู้ถามขงจื๊อว่า " จะปกครองรัฐให้ดีต้องทำอย่างไร " ขงจื๊อตอบ " จงทำให้คนอยู่ใกล้เขายินดี ผู่อยู่ไกลเขาอยากจะมาอยู่ด้วย "
3. เม่งจื๊อ เป็นผู้นิยมขงจื๊อ เน้นการดำรงชีวิตเหมาะสมและถูกต้อง โดยสอนให้ ผู้ปกครองรู้จักการมีคุณธรรม และ เมตตา ต่อบรรดาประชาราษฎ์ มุ่งปกป้องศักดิ์ศรี คนธรรมดา
นักวิชาการชาวสิงคโปร์ อดีตอธิการบดี ของ มหาลัยวิทยาลัยนันยาง ได้ทำการเปรียบเทียบระหว่าง เม่งจื๊อกับอริสโตเติล พบว่า อริสโตเติลแม้จะเป็นศิษย์ของเพลโตถึง 20 ปี แต่ไม่มีคำรรเสริญผู้เป็นอาจารย์อย่างสูงส่ง เหมือน อย่างที่เม่งจื๊อแสดงออกต่อปราชญ์รุ่นก่อน ซึ่ง้เป็นผู้ที่เม่งจื๊อยกย่องคือ ขงจื๊อ
4. ซุนวู หรือ ซุ่นหวู่ เป็นนักการทหารและนักปกครอง ในช่วงที่จักรพรรดิจีนเสื่อมด้อยอำนาจ ทั้งนี้เพราะเจ้าผู้ครองนครต่างๆ พยายามชิงความเป็นใหญ่ บ้านเมืองอลวนไปด้วยข้อพิพาท และทำศึกสงครามกัน
ผลงาน คือ ตำหรับพิชัยสงคราม ซึ่งมีเกียรติขจรขจาย และแม้แต่ขงเบ้งก็ยอมรับนับถือ โดยมีคำสอนแพร่หลายคือ " รู้เขารู้เรา " เพื่อชัยชนะในการต่อสู้ แม้รบ 100ครั้ง ก็ชนะ 100 ครั้ง มีข้อคำนึง 5 ประการ
1. ธรรม คือ สิ่งที่ทำให้ราฎรร่วมจิตสมานฉันท์กับฝ่ายนำ
2. ดินฟ้าอากาศ
3. ภูมิประเทศ
4. ขุนพล
5. ระเบียบวินัย
**ถ้าเปรียบคำสอน ซุนหวู่ กับ พุทธศาสนา ก็คือ สัปปุริสธรรม 7 แล้วจะพบว่า หลักพุทธศาสนา มีคำสอนที่ ลึกซึ้ง และ ครอบคลุมอย่างสมบูรณ์ มากกว่า
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น