• Twitter
  • Facebook
  • Google+
  • Instagram
  • Youtube

About me

Let me introduce myself


A bit about me

แหล่งรวบรวม ข้อมูล การเรียนศึกษา รามคำแหง

จัดทำขึ้นเพื่อให้นักศึกษาราม หรือ ผู้ที่สนใจ ไว้ได้ศึกษา เหมาะสำหรับผู้ที่ " ไม่มีเวลาไปเรียน " หรือ อ่านหนังสือเรียนยาว ๆ อย่างไรก็ตาม พื้นที่ ที่นี้ ไม่ได้เป็นทั้งหมดของหมดของบทเรียน เป็นเพียง แค่ " สรุป เนื้อหา จากหนังสือกองหนาๆ " ไว้เพียงเท่านั้น ทั้งนี้ เมื่อ อ่านบทเรียนสรุปทั้งหมดแล้ว ควรจะเข้าไปศึกษาเพิ่มเติม เจาะลึกเนื้อหาลงไป เพื่อความเข้าใจเพิ่มมากขึ้น

Profile

Deepak Bhagya

Personal info

Deepak Bhagya

Duis aute irure dolor in reprehenderit in voluptate velit esse cillum dolore.

Birthday: 21 SEP 1986
Phone number: +(12) 34 567 89
Website: www.dakshbhagya.com
E-mail: Me@dakshbhagya.com

สารบัญ รามคำแหง

" สรุปบทเรียน " เนื้อหาข้อมูล รายวิชา ความรู้


วิชาต่างๆ

  • วิชาพื้นฐาน

    วิชา รัฐศาสตร์ทั่วไป POL1100
  • 2011-2014

    Websoham @ Exclusive Admin

    Ut enim ad minim veniam, quis nostrud exercitation ullamco laboris nisi ut aliquip ex ea commodo consequat. Duis aute irure dolor in reprehenderit in voluptate velit esse cillum dolore eu fugiat nulla pariatur. Excepteur sint occaecat cupidatat non proident, sunt in culpa qui officia deserunt mollit anim id est laborum.

  • 2009-2011

    Templateclue.com @ Lead Developer

    Ut enim ad minim veniam, quis nostrud exercitation ullamco laboris nisi ut aliquip ex ea commodo consequat. Duis aute irure dolor in reprehenderit in voluptate velit esse cillum dolore eu fugiat nulla pariatur. Excepteur sint occaecat cupidatat non proident, sunt in culpa qui officia deserunt mollit anim id est laborum.

ความรู้ทั่วไป

Skills & Things about me

photographer
86%
html & css
Punctual
91%
illustrator
Web Developer
64%
wordpress

POSTS

My latest projects


วันพฤหัสบดีที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2560

วิชา หลักกฎหมายเอกชน LAW1002

วิชา หลักกฎหมายเอกชน law1002

วิชา หลักกฎหมายเอกชน PRINCIPLES OF PRIVATE LAW พ.ศ.2554

ข้อสอบ
อัตนัย(เขียน) 3 ข้อ

***สถิติมาตราที่ออกสอบ
ม.4*** / ม.15** /ม.19 / ม.20 / ม.21***/ ม.22** / ม.23 / ม.24*** / ม.25*** / ม.28 / 
ม.29*** / ม.30*** / ม.32 / ม.34*** / ม.61***

สารบัญ

ภาคที่ 1 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับหลักกฎหมายเอกชน

บทที่ 1 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับกฎหมาย

บทที่ 2 วิวัฒนาการแห่งกฎหมาย

บทที่ 3 การใช้และการตีความกฎหมาย

บทที่ 4 การอุดช่องว่างของกฎหมาย

ภาค 2 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ลักษณะบุคคล

บทที่ 1 บุคคลธรรมดา Natural Person

บทที่ 2 ความสามารถของบุคคล

บทที่ 3 ภูมิลำเนา

บทที่ 4 การสาบสูญ

บทที่ 5 นิติบุคคล



วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

บทที่ 1 ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับวิชารัฐศาสตร์ POL1100/07

รัฐศาสตร์กับสังคมศาสตร์ และ ศาสตร์อื่นๆ

          องค์การว่าด้วยการศึกษา วิทยาศาสตร์ และ วัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO)  ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ที่ กรุงปารีส ประเทศ ฝรั่งเศษ มีวัตถุประสงค์ ส่งเสริมความรู้ด้าน วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม ได้แบ่งวิทยาการของโลกเป็นกลุ่มใหญ่ๆ 3 หมวด คือ 1.วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ 2.สังคมศาสตร์ 3.มนุษยศาสตร์                                                  

         

บทที่ 1 ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับวิชารัฐศาสตร์ POL1100/06

รัฐศาสตร์ในโลกตะวันออก

          รัฐศาสตร์ในโลกตะวันออก "บูรพาทิศ" ได้รับอิทธิพลจากคำสอนทาง ศาสนา และ วรรณคดีต่างๆ โดยเฉพาะจาก " อินเดีย "  เช่น รามเกียรติ์ มหาภารตะ ภควัตคีตา เป็นต้น และ " จีน " เช่น ขงจื๊อ เหลาจื๊อ เป็นต้น

อินเดีย

          เรื่องราวการปกครองทางการเมืองของอินเดียโบราณ มักได้มาจากคำสอนจากคัมภีร์ทางศาสนา ทั้งใน ศาสนาพุธ พราหมณ์ ฮินดู และ อิสลาม

          คำสอนของศาสนา พราหมณ์ และ ฮินดู มีปรากฏอยู่ในคัมภีร์ต่างๆ เช่น ภควัตคีตา และ วรรณคดีมหากาพย์ 2 เรื่อง คือ มหาภารตะ และ รามเกียรติ์ หรือ รามายณะ

          รามเกียรติ์ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ พระราม พระลักษมฌ์ ทศกัณฐ์ นางสีดา หนุมาน และ อื่นๆ อันเป็นการละเล่นนันทนาการที่เรียกว่า โขน มีความเกี่ยวพันทางความเชื่อที่เรียกว่า เทวสิทธิ์ โดยมีพระรามเป็นองค์อวตาร

          มหากาพย์ทั้ง 2 เรื่องนั้น แสดงให้เห็นถึงการที่พวก อารยัน ได้เข้าไปขยายตัว ทางตะวันออก เข้าสู่ราบลุ่ม แม่น้ำคงคา  ทำให้เกิดอาณาจักรเล็กๆ ขึ้นหลายแห่ง และเกิดการผสมกลมกลืนกันระหว่าง อารยัน กับ ดราวิเดียน

          คำสอนหรือเรื่องราวที่เกี่ยวกับ รัฐศาสตร์ ปรากฏอยู่ใน คัมภีร์ พระธรรม และ มนูธรรมศาสตร์ หรือ มานวธรรมศาสตร์ (มานว เป็นคำเกี่ยวกับ มนุ หรือ มนู ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นผู้ปกครองมวลมนุษย์เป็นคนแรก) ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพิธีราชาภิเษก โดยกล่าวถึงบุคคลสำคัญ รองจาก ราชา คือ  ปุโรหิต หรือ หัวหน้าพราหมณ์

          ในยุค พระเจ้าอโศกมหาราช กษัตริย์แห่งราชโมริยะ ซึ่งครองราชสมบัติ ณ นครปาฏลีบุตร ได้ทรงยึดหลักการปกครองตามแนว ทศพิธราชธรรม (ราชธรรม 10) ซึ่งเป็นหลักคำสอนทางพุทธศาสนา ที่พระเจ้าแผ่นดินควรปฏิบัติเป็นหลักธรรมประจำพระองค์ 10 ประการ

          การตื่นตัวของไทยเกี่ยวกับหลักวิชาการแนวพุทธ  ได้มีการตื่นตัวตั้งแต่ สมัยใกล้สมโภชน์ กรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี  ( พ.ศ.2525)  จนมีหนังสือพุทธศาสตร์หลายเล่ม

จีน

          รัฐศาสตร์มีผสมผสานอยู่ในคำสอนทาง ศาสนา และ จริยธรรม ของนักปราชญ์ 4 ท่านคือ

1.  เหลาจื๊อ หรือ เล่าจื๊อ แปลว่า นักปราชญ์ หรือ ปราชญ์ผู้ชรา มีอายุมากกว่า ขงจื๊อ ประมาณ 50 ปี มีชีวิตในร่วมสมัยกับพระพุทธเจ้า ( อ่อนกว่า20ปี) มีคำสอนอยู่ในคัมภีร์ เต๋า เต็กเก็ง อันเป็นต้นตำหรับของ ลัทธิเต๋า

คำสอนของ เหลาจื๊อ

-  ให้ดำรงชีวิตและบริหารราชการไปตาม สัจธรรม หรือ มรรคา(เต๋า) ของสรรพสิ่งต่างๆ
     **เต๋า หมายถึง ทาง , มรรคา หรือ ความเป็นไปตามธรรมชาติของสรรพสิ่ง
-  ให้อยู่ในสันติ ไม่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น
-  ให้มีความเป็นอยู่อย่างง่ายๆ ตามแนวทางฟ้าดิน (เทียนตี่)

ดังนั้น ปรัชญาจีนของ เหลาจื๊อ คือ ผู้ปกครองและผู้ถูกปกครองพึ่งปฏิบัติตามมรรคา ของสรรพสิ่งให้อยู่ในสันติและมีชีวิตอย่างเรียบง่าย

2.  ขงจื๊อ เป็นนักปราชญ์คนสำคัญ ซึ่งชาวจีนปัจจุบันยกย่องวันเกิดของท่าน 28 กันยายน เป็นวันครู โดยมีคำสอนที่เน้นการรู้จัก กตัญญูกตเวทีของบุตรที่มีต่อบิดามารดา สอนให้มีมนุษยธรรม สอนให้ปฏิบัติตามฐานะทางสังคม และเน้นการศึกษา
     มีผู้ถามขงจื๊อว่า " จะปกครองรัฐให้ดีต้องทำอย่างไร " ขงจื๊อตอบ " จงทำให้คนอยู่ใกล้เขายินดี ผู่อยู่ไกลเขาอยากจะมาอยู่ด้วย "

3.  เม่งจื๊อ เป็นผู้นิยมขงจื๊อ เน้นการดำรงชีวิตเหมาะสมและถูกต้อง โดยสอนให้ ผู้ปกครองรู้จักการมีคุณธรรม และ เมตตา ต่อบรรดาประชาราษฎ์  มุ่งปกป้องศักดิ์ศรี คนธรรมดา
     นักวิชาการชาวสิงคโปร์ อดีตอธิการบดี ของ มหาลัยวิทยาลัยนันยาง ได้ทำการเปรียบเทียบระหว่าง เม่งจื๊อกับอริสโตเติล พบว่า อริสโตเติลแม้จะเป็นศิษย์ของเพลโตถึง 20 ปี แต่ไม่มีคำรรเสริญผู้เป็นอาจารย์อย่างสูงส่ง เหมือน อย่างที่เม่งจื๊อแสดงออกต่อปราชญ์รุ่นก่อน ซึ่ง้เป็นผู้ที่เม่งจื๊อยกย่องคือ ขงจื๊อ

4.  ซุนวู หรือ ซุ่นหวู่ เป็นนักการทหารและนักปกครอง ในช่วงที่จักรพรรดิจีนเสื่อมด้อยอำนาจ ทั้งนี้เพราะเจ้าผู้ครองนครต่างๆ พยายามชิงความเป็นใหญ่ บ้านเมืองอลวนไปด้วยข้อพิพาท และทำศึกสงครามกัน
      ผลงาน คือ ตำหรับพิชัยสงคราม ซึ่งมีเกียรติขจรขจาย และแม้แต่ขงเบ้งก็ยอมรับนับถือ โดยมีคำสอนแพร่หลายคือ " รู้เขารู้เรา " เพื่อชัยชนะในการต่อสู้ แม้รบ 100ครั้ง ก็ชนะ 100 ครั้ง มีข้อคำนึง 5 ประการ
1. ธรรม คือ สิ่งที่ทำให้ราฎรร่วมจิตสมานฉันท์กับฝ่ายนำ
2. ดินฟ้าอากาศ
3. ภูมิประเทศ
4. ขุนพล
5. ระเบียบวินัย
     **ถ้าเปรียบคำสอน ซุนหวู่ กับ พุทธศาสนา ก็คือ  สัปปุริสธรรม 7 แล้วจะพบว่า หลักพุทธศาสนา มีคำสอนที่ ลึกซึ้ง และ ครอบคลุมอย่างสมบูรณ์ มากกว่า



         

วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

บทที่ 1 ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับวิชารัฐศาสตร์ POL1100/05

รัฐศาสตร์ในโลกตะวันตก

         ความคิดเชิงรัฐศาสตร์ในโลกตะวันตก เริ่มต้นในดินแดนอันเป็นต้นกำเนิดของกีฬาโอลิมปิก คือ นาครรัฐเอเธนส์ แห่งกรีกโบราณ (ปัจจุบันคือ ประเทศกรีซ) ในปลายศตวรรษที่ 5 B.C. หรือ ประมาณ 2,400ปี มาแล้ว
       
ระยะแรกได้รับอิทธิพลมาจาก
-  ประวัติศาสตร์ 
-  ปรัชญา (โดยเฉพาะปรัชญาการเมือง)

อิทธิพลทางประวัติศาสตร์
ในสมัยกรีกโบราณ มีนักประวัติศาสตร์เลื่องชื่อ 2 ท่าน

1. เฮโรโดตัส (Herodotus 484-425 B.C.) ได้รับฉายาว่า บิดาแห่งประวัติศาสตร์
     ผลงานสำคัญ - หนังสือที่เกี่ยวกับการทำสงครามของกรีกโบราณ กับ เปอร์เซีย โดยกล่าวถึงสาเหตุตอนหนึ่งว่า สงครามเกิดขึ้นเพราะเรื่องการเมือง
      ( บิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย คือ สมเด็จ ฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ )

2. ธูซดิดส์ (Thucidides 460-400 B.C.) ได้รับฉายาว่า นักประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ของกรีกโบราณ
      ผลงานสำคัญ - หนังสือสงครามเปโลปอนเนเซียน การรบระหว่าง ชาวเอเธนส์ และ สปาร์ตา ซึ่งครอบคลุมยาวนานถึง 33 ปี

อิทธิพลทางปรัชญา
       รัฐศาสตร์ตะวันตกที่ได้รับแนวคิดทางปรัชญา โดยเฉพาะ ปรัชญาการเมือง ซึ่งมีนักคิดหรือมหาปราชญ์ของกรีกโบราณ 3 ท่าน

1.ซอคระตีส (Socrates 477-399 B.C.) ได้รับฉายา บิดาแห่งปรัชญา โดยแนวคิดของท่านจะปรากฎอยู่ ในหนังสือที่เรียบเรียงโดย ศิษย์ของท่าน คือ เพลโต

2. เพลโต (Plato 247-347 B.C.) ได้รับฉายา บิดาแห่งปรัชญาการเมือง(Political Philosophy)
     ผลงานสำคัญ -  หนังสือ The Republic ( อุตมรัฐ คือ เลิศรัฐ หรือ รัฐในอุดมคติ) เป็นหนังสือที่ทรงคุณค่าที่สุดทางปรัชญาการเมืองในโลกตะวันตก เพลโต ได้เปิดสอน ณ สถาบันแห่งแรกของตะวันตก เรียกว่า Academy หมายถึง พุ่มพฤกษ์ อันเนื่องจากสภาพของ สถาบันขณะนั้น ร่มรื่น มีต้นไม้หลายชนิด เทียบได้คล้ายกับสำนัก "ทิศาปาโมกข์'' ของ อินเดีย

3. อริสโตเติล (Aristotle 384-347 B.C.) ได้รับฉายา บิดาแห่งรัฐศาสตร์ เป็นผู้ก่อตั้ง วิชารัฐศาสตร์ ในโลกตะวันตก ซึ่งมีผลงานจำนวนมาก และไม่ได้จำกัดเฉพาะในวงรัฐศาสตร์เท่านั้นยังรวมถึง การเมืองด้วย
ด้รับการยกย่องว่าเป็นผู้รอบรู้ดุจ สารานุกรม  ความเปรื่องฉลาดนี้เกิดขึ้นจาก 3 อย่าง
- เป็นผู้มี สติปัญญาดี
- มี ครูดี เพลโตล
- มี ศิษย์ดี อเล็กซานเดอร์มหาราช
จัดตั้งสถาบัน ชื่อ ลีเซียม Lyceum  โดย พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ ได้มอบทุนให้แก่ อริสโตเติลจัดตั้ง

** อเล็กซานเดอร์ (356-323 B.C.) มกุฎราชกุมารแห่งนครรัฐมาเซโดเนีย หลังจากได้ขึ้นครองราชย์แล้ว ได้ทรง แผ่อิทธิพลไปยังนครรัฐ และ แว่นแคว้นต่างๆ แล้วนำรัฐธรรมนูญของนครรัฐเหล่านั้นถึง 158 ฉบับ มาฝาก อริสโตเติล ผู้เป็นอาจารย์ เพื่อนำไปศึกษา เปรียบเทียบ พระองค์จึงได้ ชื่อว่าเป็น ศิษย์กตัญญกตเวที

มรดกทางปัญญาของอริสโตเติลที่เกี่ยวกับการเมือง

-  เรื่องรัฐธรรมนูญ อริสโตเติลได้นำรัฐธรรมนูญ ทั้ง 158 ฉบับ มาเปรียบเทียบ ซึงการเปรียบเทียบนี้เป็น
รากฐานของการเมืองเปรียบเทียบ

-  เรื่องความเป็นพลเมือง กับ การมีส่วนร่วมทางการเมือง ถือว่า เป็นพลเมืองที่ดี (Good Citizen) และ คนดี(Good Man) เป็นอย่างเดียวกันในรัฐอุดมคติ ซึ่งจุดมุ่งหมายของรัฐคือ การผลิตบุคคลที่มีคุณภาพสูง

-  เรื่องการปกครองโดยกฏหมาย โดยให้ความสำคัญกับ ระบบ คือ กฏเกณฑ์ และ ระเบียบแบบแผนซึ่งได้ผ่านขั้นตอนกระบวนการต่างๆมาแล้ว

เมื่อได้ทำการศึกษาลงไปจะพบว่า แต่ละคน จะมีความสัมธ์ แบบ อาจารย์กัลยาณมิตร - ศิษย์สหาย คือ อาจารย์เป็นมิตรต่อศิษย์ และ ศิษย์เป็นผู้ร่วมเดินทางกับอาจารย์ ตาม "ถนนวิชา" ไม่ว่าจะเป็น ซอคระตีส-เพลโต , เพลโตล-อริสโตเติล , อริสโตเติล-อเล็กซานเดอร์



วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

รัฐธรรมนูญฉบับแรกของสยาม ชั่วคราว

พระราชบัญญัติ
ธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว
พุทธศักราช ๒๔๗๕

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการดำรัสเหนือเกล้าฯ สั่งว่า โดยที่คณะราษฎรได้ขอร้องให้อยู่ใต้ธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม เพื่อบ้านเมืองจะได้เจริญขึ้น และโดยที่ได้ทรงยอมรับตามคำขอร้องของคณะราษฎร จึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยมาตราต่อไปนี้
หมวด ๑
ข้อความทั่วไป

มาตรา ๑ อำนาจสูงสุดของประเทศนั้นเป็นของราษฎรทั้งหลาย

มาตรา ๒ ให้มีบุคคลและคณะบุคคลดั่งจะกล่าวต่อไปนี้เป็นผู้ใช้อำนาจแทนราษฎรตามที่จะได้กล่าวต่อไปในธรรมนูญ คือ
๑. กษัตริย์
๒. สภาผู้แทนราษฎร
๓. คณะกรรมการราษฎร
๔. ศาล

หมวด ๒
กษัตริย์

มาตรา ๓ กษัตริย์เป็นประมุขสูงสุดของประเทศ พระราชบัญญัติก็ดีคำวินิจฉัยของศาลก็ดีการอื่นๆ ซึ่งจะมีบทกฎหมายระบุไว้โดยฉะเพาะก็ดีจะต้องกระทำในนามของกษัตริย์

มาตรา ๔ ผู้เป็นกษัตริย์ของประเทศ คือพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว การสืบมฤดกให้ให้เป็นไปตามกฎมนเทียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์พ.ศ. ๒๔๖๗ และด้วยความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร


มาตรา ๕ ถ้ากษัตริย์มีเหตุจำเป็นชั่วคราวที่จะทำหน้าที่ไม่ได้หรือไม่อยู่ในพระนคร ให้คณะกรรมการราษฎรเป็นผู้ใช้สิทธิแทน


มาตรา ๖ กษัตริย์จะถูกฟ้องร้องคดีอาชญายังโรงศาลไม่ได้เป็นหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎรจะวินิจฉัย


มาตรา ๗ การกระทำใดๆ ของกษัตริย์ต้องมีกรรมการราษฎรผู้หนึ่งผู้ใดลงนามด้วย โดยได้รับความยินยอมของ
คณะกรรมการราษฎรจึ่งจะใช้ได้มิฉะนั้นเป็นโมฆะ


หมวด ๓
สภาผู้แทนราษฎร

ส่วนที่ ๑
อำนาจและหน้าที่

มาตรา ๘ สภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจออกพระราชบัญญัติทั้งหลายพระราชบัญญัตินั้นเมื่อกษัตริย์ได้ประกาศให้ใช้แล้ว ให้เป็นอันใช้บังคับได้ ถ้ากษัตริย์มิได้ประกาศให้ใช้พระราชบัญญัตินั้นภายในกำหนด ๗ วัน นับแต่วันที่ได้รับพระราชบัญญัตินั้นจากสภาโดยแสดงเหตุผลที่ไม่ยอมทรงลงพระนาม ก็มีอำนาจส่งพระราชบัญญัตินั้นคืนมายังสภา เพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่งถ้าสภาลงมติยืนตามมติเดิม กษัตริย์ไม่เห็นพ้องด้วย สภามีอำนาจออกประกาศพระราชบัญญัตินั้นใช้บังคับเป็นกฎหมายได้

มาตรา ๙ สภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจดูแลควบคุมกิจการของประเทศ และมีอำนาจประชุมกันถอดถอนกรรมการราษฎรหรือพนักงานรัฐบาลผู้หนึ่งผู้ใดก็ได้

ส่วนที่๒
ผู้แทนราษฎร

มาตรา ๑๐ สมาชิกในสภาผู้แทนราษฎรจะต้องเป็นไปตามกาลสมัยดั่งนี้

สมัยที่ ๑ นับแต่วันใช้ธรรมนูญนี้เป็นต้นไปจนกว่าจะถึงเวลาที่สมาชิกในสมัยที่๒ จะเข้ารับ
ตำแหน่งให้คณะราษฎรซึ่งมีคณะผู้รักษาพระนครฝ่ายทหารเป็นผู้ใช้อำนาจแทนจัดตั้งผู้แทนราษฎรชั่วคราวขึ้นเป็นจำนวน ๗๐ นายเป็นสมาชิกในสภา


สมัยที่ ๒ ภายในเวลา ๖ เดือนหรือจนกว่าการจัดประเทศเป็นปกติเรียบร้อย สมาชิกในสภาจะต้องมีบุคคล ๒ ประเภททำกิจการร่วมกัน คือ

ประเภทที่ ๑ ผู้แทนซึ่งราษฎรจะได้เลือกขึ้นจังหวัดละ ๑ นาย ถ้าจังหวัดใดมีสมาชิกเกินกว่า ๑๐๐,๐๐๐ คน ให้จังหวัดนั้นเลือกผู้แทนเพิ่มขึ้นอีก ๑ นายทุกๆ ๑๐๐,๐๐๐ นั้น เศษของ ๑๐๐,๐๐๐ ถ้าเกินกว่าครึ่งให้นับเพิ่มขึ้นอีก ๑


ประเภทที่ ๒ ผู้เป็นสมาชิกอยู่แล้วในสมัยที่ ๑ มีจำนวนเท่ากับสมาชิกประเภทที่ ๑ ถ้าจำนวนเกินให้เลือกกันเองว่าผู้ใดจะคงเป็นสมาชิกต่อไป ถ้าจำนวนขาดให้ผู้ที่มีตัวอยู่เลือกบุคลใดๆ เข้าแทนจนครบ


สมัยที่ ๓ เมื่อจำนวนราษฎรทั่วพระราชอาณาเขตต์ได้สอบไล่วิชชาปถมศึกษาได้เป็นจำนวนเกินกว่าครึ่ง และอย่างช้าต้องไม่เกิน ๑๐ ปีนับแต่วันใช้ธรรมนูญนี้สมาชิกในสภาผู้แทนราษฎร จะต้องเป็นผู้ที่ราษฎรได้เลือกตั้งขึ้นเองทั้งสิ้น สมาชิกประเภทที่๒ เป็นอันไม่มีอีกต่อไป


มาตรา ๑๑ คุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกเป็นผู้แทนประเภทที่ ๑ คือ

๑. สอบไล่วิชชาการเมืองได้ตามหลักสูตรซึ่งสภาจะได้ตั้งขึ้นไว้
๒. มีอายุ๒๐ ปีบริบูรณ์
๓. ไม่เป็นผู้ไร้หรือเสมือนไร้ความสามารถ
๔. ไม่ถูกศาลพิพากษาให้เพิกถอนสิทธิในการรับเลือก
๕. ต้องเป็นบุคคลที่มีสัญชาติเป็นไทยตามกฎหมาย
๖. ฉะเพาะผู้สมัครรับเลือกเป็นผู้แทนประเภทที่๑ ในสมัยที่๒ จะต้องได้รับความเห็นชอบของสมาชิกในสมัยที่๑ เสียก่อนว่าเป็นผู้ที่ไม่ควรสงสัยว่าจะนำมาซึ่งความไม่เรียบร้อย


มาตรา ๑๒ การเลือกตั้งสมาชิกประเภทที่ ๑ ที่ ๒ ให้ทำดั่งนี้
๑. ราษฎรในหมู่บ้านเลือกผู้แทนเพื่อออกเสียงตั้งผู้แทนตำบล
๒. ผู้แทนหมู่บ้านเลือกผู้แทนตำบล
๓. ผู้แทนตำบลเป็นผู้เลือกตั้งสมาชิกในสภาผู้แทนราษฎร
การเลือกตั้งสมาชิกในสมัยที่ ๓ จะมีกฎหมายบัญญัติภายหลังโดยจะดำเนิรวิธีการที่ให้สมาชิกได้เลือกตั้งผู้แทนในสภาโดยตรง


มาตรา ๑๓ ผู้แทนประเภทที่๑ จะอยู่ในตำแหน่งได้คราวละ ๔ ปีนับแต่วันเข้ารับตำแหน่ง แต่เมื่อถึงสมัยที่๓ แล้วแม้ผู้แทนในสมัยที่๒ จะได้อยู่ในตำแหน่งไม่ถึง ๔ ปีก็ดีต้องออกจากตำแหน่งนับแต่วันที่ผู้แทนในสมัยที่๓ ได้เข้ารับตำแหน่ง ถ้าตำแหน่งผู้แทนว่างลงเพราะเหตุอื่นนอกจากถึงคราวออกตามเวร ให้สมาชิกเลือกผู้อื่นตั้งขึ้นใหม่ให้เต็มที่ว่างแต่ผู้แทนใหม่มีเวลาอยู่ในตำแหน่งได้เพียงเท่ากำหนดเวลาที่ผู้
ออกไปนั้นชอบที่จะอยู่ได้


มาตรา ๑๔ ราษฎรไม่ว่าเพศใดเมื่อมีคุณสมบัติดั่งต่อไปนี้ ยอ่มมีสิทธิออกเสียงลงมติเลือกผู้แทนหมู่บ้านได้ คือ
๑. มีอายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์
๒. ไม่เป็นผู้ไร้หรือเสมือนไร้ความสามารถ
๓. ไม่ถูกศาลพิพากษาให้เสียสิทธิในการออกเสียง
๔. ต้องเป็นบุคคลที่มีสัญชาติเป็นไทยตามฎหมาย
คุณสมบัติของผู้แทนหมู่บ้านและผู้แทนตำบลให้เป็นไปเหมือนดั่งมาตรา ๑๑


มาตรา ๑๕ การเลือกตั้งผู้แทนใดๆ ให้ถือตามคะแนนเสียงข้างมาก ถ้าคะแนนเสียงเท่ากันให้มีการเลือกครั้งที่๒ ถ้าครั้งที่๒ มีคะแนนเสียงเท่ากันให้ตั้งคนกลางออกเสียงชี้ขาดและให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งคนกลางไว้


มาตรา ๑๖ ผู้แทนนอกจากถึงเวร จะต้องออกจากตำแหน่ง ให้นับว่าขาดจากตำแหน่ง เมื่อขาดคุณสมบัติดั่งกล่าวไว้ในมาตรา ๑๑ อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือเมื่อตาย หรือเมื่อสภาได้ได้วินิจฉัยให้ออกในเมื่อสภาเห็นว่าเป็นผู้ทำความเสื่อมเสียให้แก่สภา

มาตรา ๑๗ การฟ้องร้องสมาชิกของสภาผู้แทนราษฎรเป็นคดีอาชญายังโรงศาล จะต้องได้รับอนุญาตจากสภาก่อนศาลจึ่งจะรับฟ้องได้

ส่วนที่ ๓
ระเบียบการประชุม

มาตรา ๑๘ ให้สมาชิกเลือกกันขึ้นเป็นประธานของสภา ๑ นายมีหน้าที่ดำเนิรการของสภา และมีรองประธาน ๑ นายเป็นผู้ทำการแทน เมื่อประธานมีเหตุขัดข้องชั่วคราวที่จะทำหน้าที่ได้

มาตรา ๑๙ เมื่อประธานไม่อยู่หรือไม่สามารถมาได้ก็ให้รองประธานแทนเป็นผู้รักษาความเรียบร้อยในสภา และจัดการให้ได้ปรึกษาหารือกันตามระเบียบ


มาตรา ๒๐ ถ้าประธานและรองประธานไม่อยู่ในที่ประชุมทั้ง ๒ คนก็ให้สมาชิกที่มาประชุมเลือกตั้งกันเองขึ้นเป็นประธานคนหนึ่งชั่วคราวประชุมนั้น


มาตรา ๒๑ การประชุมปกติให้เป็นหน้าที่ของสภาเป็นผู้กำหนดการประชุมพิเศษจะมีได้ต่อเมื่อสมาชิกมีจำนวนรวมกันไม่น้อยกว่า ๑๕ คนได้ร้องขอหรือคณะกรรมการราษฎรได้ร้องขอให้เรียกประชุม การนัดประชุมพิเศษ ประธานหรือผู้ทำการแทนประธานเป็นผู้สั่งนัด


มาตรา ๒๒ การประชุมทุกคราวต้องมีสมาชิกมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดจึ่งจะเป็นองค์ประชุมปรึกษาการได้


มาตรา ๒๓ การลงมติวินิจฉัยข้อปรึกษานั้น ให้ถือเอาเสียงข้างมากเป็นประมาณสมาชิกคนหนึ่งย่อมมีเสียงหนึ่งในการลงคะแนน ถ้ามีจำนวนเสียงลงคะแนนเท่ากันให้ผู้เป็นประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นได้อีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด


มาตรา ๒๔ สมาชิกไม่ต้องรับผิดในถ้อยคำใดๆ ที่ได้กล่าวหรือแสดงเป็นความเห็นหรือในการออกเสียงลงคะแนนในที่ประชุม ผู้หนึ่งผู้ใดจะว่ากล่าวฟ้องร้องเพราะเหตุนั้นหาได้ไม่


มาตรา ๒๕ ในการประชุมทุกคราวประธานต้องสั่งให้เจ้าหน้าที่ประจำในสภาจดรายงานรักษาไว้และเสนอเพื่อให้สมาชิกได้ตรวจแก้ไขรับรอง แล้วให้ผู้เป็นประธานในที่ประชุมลงนามกำกับไว้


มาตรา ๒๖ สภามีอำนาจตั้งอนุกรรมการเพื่อทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือให้สอบสวนพิจารณาทำความเห็นในเรื่องใดเรื่องหนึ่งขึ้นเสนอต่อที่ประชุมใหญ่เพื่อปรึกษาหารือตกลงอีกชั้นหนึ่งก็ได้ประธานอนุกรรมการนั้นเมื่อสภาไม่ได้ตั้งก็ให้อนุกรรมการเลือกกันเองตั้งขึ้นเป็นประธานได้
อนุกรรมการมีอำนาจเชิญบุคคลใดๆ มาชี้แจงแสดงความเห็นได้อนุกรรมการและผู้ที่เชิญมาได้รับสิทธิในการแสดงความเห็นตามมาตรา ๒๔
ในการประชุมอนุกรรมการนั้นต้องมีอนุกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่า ๓ นายจึ่งจะเป็นองค์ประชุมปรึกษาการได้เว้นแต่อนุกรรมการนั้นจะมีจำนวนตั้งขึ้นเพียง ๓ คน เมื่อมาประชุมแต่ ๒ คนก็ให้นับว่าเป็นองค์ประชุมได้


มาตรา ๒๗ สภามีอำนาจตั้งระเบียบการปรึกษาหารือเพื่อดำเนิรการให้เป็นไปตามธรรมนูญนี้(ในชั้นแรกนี้ให้อนุโลมใช้ข้อบังคับสภากรรมการองคมนตรีฉะเพาะที่ไม่ขัดกับธรรมนูญนี้ไปพลางก่อน)

หมวดที่๔
คณะกรรมการราษฎร

ส่วนที่๑
อำนาจและหน้าที่

มาตรา ๒๘ คณะกรรมการราษฎรมีอำนาจและหน้าที่ดำเนิรการให้เป็นไปตามวัตถุที่ประสงค์ของสภา

มาตรา ๒๙ ถ้ามีการฉุกเฉินเกิดขึ้นซึ่งคณะกรรมการจะเรียกประชุมสภาราษฎรให้ทันท่วงทีมิได้และคณะกรรมการราษฎรเห็นสมควรจะต้องออกกฎหมาย เพื่อให้เหมาะแก่การฉุกเฉินนั้นๆ ก็ทำได้แต่จะต้องรีบนำกฎหมายนั้นขึ้นให้สภารับรอง


มาตรา ๓๐ คณะกรรมการราษฎรมีอำนาจให้อภัยโทษแต่ให้นำความขึ้นขอพระบรมราชานุญาตเสียก่อน


มาตรา ๓๑ ให้เสนาบดีกระทรวงต่างๆ เป็นผู้รับผิดชอบต่อคณะกรรมการราษฎรในกิจการทั้งปวง สิ่งใดซึ่งเป็นการฝ่าฝืนต่อคำสั่งหรือระเบียบการของคณะกรรมการราษฎร หรือกระทำไปโดยธรรมนูญไม่อนุญาตให้ทำได้ให้ถือว่าการนั้นเป็นโมฆะ

ส่วนที่ ๒
กรรมการราษฎรและเจ้าหน้าที่ประจำ

มาตรา ๓๒ คณะกรรมการราษฎรประกอบด้วยประธานคณะกรรมการราษฎร ๑ นาย และกรมการราษฎร ๑๔ นาย รวมเป็น ๑๕ นาย

มาตรา ๓๓ ให้สภาเลือกตั้งสมาชิกในสภาผู้๑ ขึ้นเป็นประธานกรรมการ และให้ผู้เป็นประธานนั้นเลือกสมาชิกในสภาอีก ๑๔ นายเพื่อเป็นกรรมการ การเลือกนี้เมื่อได้รับความเห็นชอบของสภาแล้ว ให้ถือว่าผู้ที่ได้รับเลือกนั้นๆ เป็นกรรมการของสภา ในเมื่อสภาเห็นว่ากรรมการมิได้ดำเนิรกิจการตามรัฐประศาสโนบายของสภา สภามีอำนาจเชิญกรรมการให้ออกจากหน้าที่แล้วเลือกตั้งใหม่ตามที่กล่าวในตอนนั้น


มาตรา ๓๔ กรรมการคนใดมีเหตุอันกระทำให้กรรมการคนนั้นขาดคุณสมบัติอันกำหนดไว้สำหรับผู้แทนในมาตรา ๑๑ ก็ตาม หรือตายก็ตาม ให้สภาเลือกกรมการแทนสำหรับตำแหน่งนั้นๆ ในเมื่อสภาได้เลือกตั้งกรรมการแล้ว สภาชุดนั้นหมดกำหนดอายุตำแหน่งเมื่อใด ให้ถือว่ากรรมการชุดนั้นย่อมหมดกำหนดอายุตำแหน่งด้วย


มาตรา ๓๕ การตั้งการถอดตำแหน่งเสนาบดีย่อมเป็นพระราชอำนาจของกษัตริย์พระราชอำนาจนี้จะทรงใช้แต่โดยตามคำแนะนำของคณะกรรมการราษฎร


มาตรา ๓๖ การเจรจาการเมืองกับต่างประเทศเป็นหน้าที่ของกรรมการผู้แทนราษฎร และกรรมการอาจตั้งผู้แทนเพื่อการนี้ได้ การเจรจาได้ดำเนิรไปประการใดให้กรรมการรายงานกราบบังคมทูลกษัตริย์ทรงทราบ
การให้สัตยาบันสัญญาทางพระราชไมตรีเป็นพระราชอำนาจของกษัตริย์แต่จะทรงใช้พระราชอำนาจนี้ตามคำแนะนำของกรรมการราษฎร


มาตรา ๓๗ การประกาศสงครามเป็นพระราชอำนาจของกษัตริย์ แต่จะทรงใช้พระราชอำนาจนี้ตามคำแนะนำของกรรมการราษฎร



ส่วนที่ ๓
ระเบียบการประชุม

มาตรา ๓๘ ระเบียบการประชุมของคณะกรรมการราษฎรให้อนุโลมตามที่บัญญัติในหมวดที่ ๓
หมวดที่๕
ศาล

มาตรา ๓๙ การระงับข้อพิพาทให้เป็นไปตามกฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลานี้

ประกาศมา ณ วันที่ ๒๗ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๗๕ และให้ใช้บังคับได้แต่บัดนี้เป็นต้นไป

(พระบรมนามาภิธัย) ประชาธิปก ป.ร.
วันที่ ๒๗ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๗๕
 รก. เล่ม ๔๙ หน้า ๑๖๖


จากเว็บไซท์ของ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา / มกราคม 2553




บทที่ 1 ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับวิชารัฐศาสตร์ POL1100/04


ศัพท์รัฐศาสตร์

       รัฐศาสตร์เป็นการศึกษา เรื่องราวทางการเมือง คำว่า รัฐศาสตร์ กับ การเมือง มักใช้แทนกันได้ แต่มี
ข้อแตกต่าง คือ รัฐศาสตร์ จะเน้นหนักไปทางวิทยาการ(วิชาการ) หรือเป็นศาสตร์ ที่มีการจัดระบบหมวดหมู่อย่างชัดเจน ส่วน การเมือง จะเน้นไปทางด้านการกระทำหรือกิจกรรม

ในตำรา POL1100 มีคำกล่าวของ อริสโตเติล ผู้สถาปนาวิชารัฐศาสตร์ ปรากฏอยู่ในวงกรอบข้างบน ความว่า " รัฐศาสตร์เป็นภาคปฏิบัติ "  และของ อาร์ เอ บัตเลอร์ นักปรัชญาอังกฤษ ปรากฏอยู่ในวงกรอบข้างล่าง ความว่า " การเมืองเป็นศิลป์แห่งการ (ทำให้) เป็นไปได้ "

     รัฐศาสตร์ เป็นศัพท์ที่แปลมาจากภาษาต่างประเทศ โดยในภาษาอังกฤษอาจใช้ศัพท์ 3 ศัพท์ คือ Politics , Political Science, Government ซึ่งถ้าแปลตรงตัวก็คือ การเมือง,รัฐศาสตร์,การปกครอง

     คำว่า การเมือง Politics มาจาก รากศัพท์ภาษากรีก คำว่า Polis แปลว่า นครรัฐ โดยหมายถึง นครรัฐในกรีกโบราณ ได้แก่ เอเธนส์ และ สปาร์ตา เป็นต้น

     คำว่า รัฐศาสตร์ Political Science  มาจาก รากศัพท์ภาษาเยอรมัน คำว่า Staatswissenschaft แปลว่า ศาสตร์แห่งรัฐ

     คำว่า การปกครอง Government มาจาก รากศัพท์ภาษากรีก คำว่า Kybernates แปลว่า ผู้ถือหางเสือเรือ(ผู้ถือท้ายเรือ) โดยมีวลีที่นิยมใช้กันต่อมาคือ รัฐนาวา Ship of state



ย้อนกลับ POL1100/03

อ่านต่อ...........

บทที่ 1 ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับวิชารัฐศาสตร์ POL1100/03


การศึกษาเปรียบเสมือน "แสงชวาลาแห่งชีวิต" คือเปรียบเป็นประทีปส่องทางเดิน การศึกษามีความหมายกว้างขวาง การเรียนรู้ส่วนหนึ่งต้องอาศัยเอกสารตำรา อาจกล่าวให้ง่าย " ในน้ำมีปลา ในตำรามีความรู้ " แต่ความรู้นั้นมิได้หาได้เฉพาะในห้องเรียนหรือตำราเท่านั้น หากแต่มีปรากฏอยู่ทั่วไป

องค์การระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการเงินและการค้าโลก หรือ เป็นองค์กรทางด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ องค์การการค้าโลก(WTO) , กองทุนเงินระหว่างประเทศ(IMF), ธนาคารโลก(World Bank), ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย(ADB) เป็นต้น

ในยุคที่ประเทศไทยเกิดวิกฤติการเงินพ.ศ.2540 เรียกว่า "โรคต้มยำกุ้ง" ซึ่งต้องอาศัย กองทุนเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund : IMF)  เมื่อขยายไปเกาหลี เรียกว่า "โรคกิมจิ" ส่วนวิกฤติที่ทำให้เศรษฐกิจ อเมริกา และ ทั่วโลก ถดถอยตั้งแต่ปี พ.ศ.2551 เรียกว่า "แฮมเบอร์เกอร์"

โลกาภิวัตน์ (Globalizataion) เป็นกระแสปัจจุบันที่เป็นสภาวะแห่งการเป็นนานาชาติ อันเป็นสภาวะสากล หรือการติดต่อทั่วพื้นที่เป็นจริงมากขึ้น

การรื้อปรับระบบ (Reengineering) เป็นการปฏิรูปอย่างขนานใหญ่ ที่มีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก ไม่ยึดติดกับวิธีการหรือแนวคิดเดิมๆ

เริ่มต้นศตวรรษที่ 21 ได้มีเหตุการณ์เกิดขึ้นหลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องการก่อวินาศกรรม อาคารเวิร์ลเทรดเซนเตอร์ (World Trade Center) ซึ่งเป็นตึกแฝด ใน มหานครนิวยอร์ค(New York) และอาคารสำนักงานกระทรวงกลาโหมของสหรัฐอเมริกา (Pentagon) เรียกว่าเหตุการณ์นี้ว่า 911 (Nine One One) เดือน กันยายน(9) วันที่ 11  ค.ศ.2001 (พ.ศ.2544) ทำให้เกิดผลกระทบมหาศาลทั่วโลก ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และ อืื่นๆ

เหตุการณ์ 911

ในช่วงของ การเปลี่ยนแปลง ไปสู่ศตวรรษที่ 21 (ค.ศ.2000) ได้มีการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อบุคคลสำคัญ ในศตวรรษที่ 20 (ค.ศ.1900-1999) ผลปรากฏว่าผู้ที่ได้รับเป็น Man of the Century หรือ บุคคลสำคัญแห่งศตรววษ 20 คือ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์(Albert Einstein) เป็นนักวิทยาศาสตร์ เชื้อสาย ยิว มีผลงานดีเด่นมากมาย โดยเฉพาะ เป็นผู้คิดค้นระเบิดปรมาณู และ ทฤษฏีสัมพัทธภาพ



สิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ " คลื่นลูกที่ 3 " คือ กระชับ ฉับไว กว้างไกล ล้ำสมัย ซูเปอร์ไฮเทค และไร้พรมแดน ทั้งนี้เป็นผลมาจากความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี

Good Governance แปลว่า ธรรมาภิบาลหรือโลกาภาบาล เน้นถึง คุณภาพของความเป็นสัมมาชนหรือระดับจุลภาค,  คุณภาพของหน่วยงานระดับกลางหรือระดับมัชฌิมภาค, คุณภาพของรัฐบาล(ธรรมรัฐ)หรือระดับมหาภาค จะมีความหมายกว้างกว่า Good Government (การปกครองที่ดี)



ย้อนกลับ POL1100/02

อ่านต่อ POL1100/04

Services

What can I do


Branding

Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipisicing elit, sed do eiusmod tempor incididunt ut labore et dolore magna aliqua.

Web Design

Quis nostrud exercitation ullamco laboris nisi ut aliquip ex ea commodo consequat. Donec sit amet venenatis ligula. Aenean sed augue scelerisque.

Graphic Design

Duis aute irure dolor in reprehenderit in voluptate velit esse cillum dolore eu fugiat nulla pariatur. Excepteur sint occaecat cupidatat non proident.

Development

Duis aute irure dolor in reprehenderit in voluptate velit esse cillum dolore eu fugiat nulla pariatur. Excepteur sint occaecat cupidatat non proident.

Photography

Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipisicing elit, sed do eiusmod. Donec sit amet venenatis ligula. Aenean sed augue scelerisque, dapibus risus sit amet.

User Experience

Quis nostrud exercitation ullamco laboris nisi ut aliquip ex ea commodo consequat. Donec sit amet venenatis ligula. Aenean sed augue scelerisque, dapibus risus sit amet.

Contact

Get in touch with me


Adress/Street

-

Phone number

-

Website

-